บทเรียนจากไฟดับไอบีเรีย: พลังงานยุคใหม่ต้องไม่สะดุด

โลกยุคใหม่จะอยู่ได้อย่างไรเมื่อไม่มีไฟฟ้า? คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เมื่อคาบสมุทรไอบีเรียต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไฟดับครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษ ส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายสิบล้านคนในสเปนและโปรตุเกส ระบบขนส่งหยุดชะงัก ธนาคารและเครือข่ายสื่อสารล่ม ขณะที่โรงพยาบาลต้องพึ่งพาเครื่องปั่นไฟฉุกเฉิน
ก่อนหน้านี้ไม่นาน สนามบินฮีทโธรว์ของลอนดอนก็ประสบเหตุเพลิงไหม้สถานีย่อยไฟฟ้าเพียงแห่งเดียว แต่ทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินหลายร้อยเที่ยว และสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมการบินกว่า 60 ล้านปอนด์
เหตุการณ์เหล่านี้ตอกย้ำถึงความเปราะบางของระบบไฟฟ้าในยุคที่ความต้องการพลังงานพุ่งสูงขึ้นจากการขยายตัวของเมือง การใช้ AI ศูนย์ข้อมูล ยานยนต์ไฟฟ้า และระบบทำความเย็น ขณะเดียวกัน ระบบไฟฟ้าแบบเดิมที่ออกแบบมาเพื่อการผลิตรวมศูนย์ กลับไม่รองรับสภาพอากาศสุดขั้วและพลังงานหมุนเวียนที่ไม่เสถียรได้อย่างเต็มที่

พลังงานยุคใหม่ กับความท้าทายที่ซับซ้อน
ระบบพลังงานในอดีตถูกออกแบบมาให้ไฟฟ้าไหลทางเดียวจากแหล่งผลิตสู่ผู้ใช้ ซึ่งเหมาะกับยุคที่มีอุปสงค์คงที่และสภาพภูมิอากาศนิ่ง แต่ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญความท้าทายสองด้าน:
- ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มสูง: จากประชากรที่เพิ่มขึ้น การใช้ AI ศูนย์ข้อมูล การเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และระบบทำความเย็น
- ภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น: คลื่นความร้อนและการขาดแคลนน้ำส่งผลให้โรงไฟฟ้าต้องลดกำลังผลิต โดยเฉพาะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และพลังความร้อนในยุโรป
แม้ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ต้องพัฒนา ระบบที่ยืดหยุ่นและพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต ควบคู่กันไป
ความยืดหยุ่น นโยบายพลังงานแนวใหม่
เหตุการณ์ไฟดับครั้งใหญ่ในไอบีเรียเมื่อเร็วๆ นี้เผยให้เห็นช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของระบบพลังงาน แม้ระบบจะถูกออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นในตัว แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันจำเป็นต้องมีการเสริมสร้างเพิ่มเติม โดยมีแนวทางแก้ไขหลายประการ:
- เพิ่มความเฉื่อยของระบบ: ใช้เทคโนโลยีอย่างระบบสูบน้ำ (Pumped Hydro), แบตเตอรี่พลังงาน (BESS), ฟลายวีล และแหล่งพลังงานแบบซิงโครนัส เพื่อชดเชยการลดลงของความเฉื่อยเมื่อหันไปใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
- เสริมสร้างการเชื่อมโยงโครงข่าย: การเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าข้ามประเทศสามารถช่วยให้มีการแบ่งปันทรัพยากรไฟฟ้าในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความน่าเชื่อถือแล้ว ยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดด้วย
- พัฒนาระบบกักเก็บและโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ เช่น ไมโครกริดแบบกระจาย การจัดการโหลด และระบบตอบสนองตามอุปสงค์ เพื่อให้ระบบคล่องตัวมากขึ้น
- เตรียมพร้อมรับภัยธรรมชาติ: ผ่านระบบพยากรณ์แบบไดนามิก โครงสร้างพื้นฐานทนความร้อน และเทคโนโลยีทำความเย็น พร้อมใช้ AI และข้อมูลเรียลไทม์คาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้า
- ธรรมาภิบาลด้านพลังงาน: กำหนดบทบาท ความรับผิดชอบ และแรงจูงใจให้ชัดเจนในทุกภาคส่วน เพื่อสร้างระบบที่ไม่เพียงป้องกันวิกฤต แต่สามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
สรุป
ระบบพลังงานในอนาคตต้องไม่เพียงสะอาด แต่ยังต้อง “ยืดหยุ่น” เพื่อรับมือกับการใช้งานที่เพิ่มขึ้นและภัยคุกคามจากสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น เหตุการณ์ไฟดับในไอบีเรียคือสัญญาณเตือนว่าการวางแผนเชิงรุกและการลงทุนในระบบพลังงานที่มีความพร้อมคือสิ่งจำเป็น
แหล่งข้อมูล: https://www.bangkokbiznews.com/environment/1181533